วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

5 วิธีดูแลคอมอย่าง ง่าย ๆ

1.รหัสก็สำคัญนะ?อันดับแรก เรามาดูที่รหัส Admin account ของ คอมพิวเตอร์เราก่อนค่ะ Admin คืออะไร? ถ้าพูดถึงในแง่ของมือใหม่จะเป็น account ที่ท่านกำลังใช้อยู่ (ลงโปรแกรม และตั้งค่าอะไรต่างๆนาๆได้) หรือผู้ใช้ที่พอมีประสบการณ์อยู่แล้ว บางท่านอาจบอกว่าไม่มีความจำเป็น เพราะคอมเราใช้อยู่คนเดียว แต่ก็ไม่แน่เสมอไป บางทีอาจมีคนเข้า ip ของเราอยู่ หรืออาจมีโจรขโมย เข้ามาในบ้านของคุณและขโมยการบ้านของคุณก็เป็นได้ ควรจะตั้งรหัสไว้เพื่อความปลอดภัยค่ะ

2.คลิกดะ?ข้อนี้สำคัญมาก เนื่องจากสมัยนี้ ซอฟท์แวร์ไม่ประสงค์ดี(Malware ex.Spyware Virus) ในโลกไซเบอร์มีเยอะมากๆ และออกสายพันธุ์ใหม่ทุกวันก็ว่าได้ ส่วนใหญ่ช่องทางที่นิยมกันตอนนี้คือทาง MSN (ตอนนี้เป็น Windows Live Messenger ไปละ)ซึ่งจะเป็นการส่งลิงค์จากคู่สนทนาของเราค่ะ ส่งมาแบบเนียนๆ บางทีอาจเป็นไฟล์รูป หรือไฟล์ .zip .rar ซึ่งอันตรายจริงๆ บางตัวนี่ เล่นลบ My Document ทิ้งเลย(ทำให้ Vista ต้องมี Allow or Cancel เพื่อป้องกันเหตุร้าย)หรือร้ายแรงกว่านั้นคือลบไฟล์ท ี่ส่งผลให้คอมคุณหลังจากปิดไปแล้ว เปิดขึ้นอีกไม่ได้ ต้อง format ลงใหม่อย่างเดียว

และยังมีอีกช่องทางคือ ตาม E-mail ที่ส่งมา บางทีอาจส่งมาจากเพื่อนที่ติดไวรัส หรือส่งมาจากคนอื่น ได้ได้รับเมลล์จากคนแปลกปลอม และมีลิงค์มา อย่ากด ถ้าไม่สำคัญให้ลบทิ้งได้เลย แต่ถ้าเป็นของเพื่อนที่มีลิงค์ ก็ควรจะตรวจสอบก่อน อาจจะส่ง mail กลับไปหรือก๊อปลิงค์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญดู บางทีใน E-mail ของเพื่อนอาจมีเอกสารแนบมา แต่สมัยนี้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะถ้าใช้ Webmail(ไปเปิด mail ในเวป) ส่วนมากจะสแกนไวรัสให้แล้ว ยกเว้นคุณใช้ POP3 ก็ระวังหน่อยแล้วกันค่ะ

ช่องทางสุดท้าย ซึ่งตอนนี้เป็นที่นิยมมาก คือตามเวปเครือข่าย Social Network (Hi5 Myspace เป็นต้น) จะมีการไปโพสท์ Comment โดยผู้ไม่ประสงค์ดีไว้ ซึงถ้าเรากดไปก็เสร็จเลย ลิงค์บางทีก็ต้องดูให้ดีๆครับ ถ้าคนรู้จักภาษา HTML ก็น่าจะรู้ คือสามารถเขียนชื่ออย่างนึง แต่กดไปที่อื่นได้ เช่น ลิงค์อาจเขียนว่า ไปที่ Google แต่พอกดอาจเป็น http://www.virus.com/ ก็ได้ (ไม่เชื่อลองกดดูสิ )
เอาเป็นว่า ก่อนจะกดอะไร คิดเสียก่อนแล้วกันค่ะ


3..ไม่แยแสโปรแกรมป้องกันไวรัส?บางท่านที่ผมรู้จัก ไม่เคยสนใจที่จะลงโปรแกรมป้องกันไวรัสเลย ถามทำไม บอก ถ้าติดไวรัสก็ให้ร้านคอมแก้ และแน่นอน ตามแบบแผนร้านคอม(ส่วนมาก) Format ไว้ก่อน เสียเวลาสแกน อีกทั้งยังทำให้ลูกค้าเสียตังอีก Yahoo! และโปรแกรมที่เราใช้อยู่ก็ยากเหลือเกิน บางทีสแกนเจอลบไม่ได้ หรือโปรแกรมหมดอายุ Expire อะไรต่างๆ วันนี้ ผมมีโปรแกรมป้องกันและสแกนดีๆมานำเสนอค่ะAVG Free หรือ Avira AntiVir เพราะใช้พร้อมกันไม่ได้แน่นอน ดีทั้งคู่ซึ่งโปรแกรมด้านบน ใช้ร่วมกับ Spybot Search and Destroyถ้ายังคิดว่าไม่ปลอดภัยพอ สามารถนำ Trend Micro HijackThis อันโด่งดัง มาสแกนแล้วลบด้วยตัวเองอีก (ไว้ค่อยว่ากันต่อ)แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ ปลอดภัยพอสมควรแล้ว นอกเหนือจากนี้ก็พวกโปรแกรมป้องกันไวรัส USB หรืออุปกรณ์ถอดๆเสียบๆทั้งหลาย เช่น Flash Drive iPod ก็มีโปรแกรม CPE17 และ ARDV เป็นของเด็กไทยผลิดอีก น่าภาคภูมิใจมากๆ

4.ไม่ทะนุถนอมเครื่อง?ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง ใช้ Notebook Compaq อายุ 5 ปีได้(ดูจากรุ่น body)สภาพยังใหม่อยู่เลย มีแต่คราบสนิมและรอยลอกคราบที่โดนเหงื่อกัด แต่ Notebook Acer อีกตัวที่ฉันเป็นของเพื่อนอีกคน อายุไม่ถึงปี สภาพต่างกันมากๆ โทรม ปุ่มนี่แทบจะหลุดตามกันหมดแล้ว ตัวล๊อคจอกับเครื่องปิดไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าความระมัดระวังของตัวผู้ใช้เอง ก็มีความสำคัญกับคอมพิวเตอร์มาก บางทีอาจเผลอ ถอดปลั๊กออกทั้งๆที่ยัง Shut down ไม่เสร็จ ซึ่งถ้าใช้อย่างไม่ระมัดระวัง ปัญหาที่ต้องเจอแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ "จอสีฟ้าแห่งความตาย" หรือที่เรียกันในหมู่วงการคอมว่า BSOD นั่นเอง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจาก Hardware(ตัวชิ้นส่วนของคอม)เป็นหลักค่ะ การเปิดคอมทิ้งไว้เป็นเวลานาน ก็ส่งผลให้กับประสิทธิภาพเช่นกันนะค่ะอย่างน้อยไม่ควรเปิดเกินสามวัน เอาเหอะๆ หลายๆท่านอาจเถียงในใจว่า มันไม่เห็นร้อนเลย แต่คอมก็มีหัวจิตหัวใจ ให้มันพักผ่อนบ้างก็ดีค่ะ

5.โปรแกรมเยอะใช่ว่าจะดี?ในยุคสมัยนี้ Software มีการแข่งขันสูง แน่นอน เพื่อการตลาดที่ดี ต้องมีของฟรีให้ลองใช้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ใช้คอมหน้าใหม่หรือหน้าเก่า ก็ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา โหลดโปรแกรมใหม่มาลงคอมพ์ฯของคุณ ลองใช้ และไม่ได้ลบออก เพราะเห็นว่า Harddisk (หน่วยความจำของคอมพ์ฯ)ยังเหลือเยอะอยู่ แต่หารู้ไม่ ว่าทุกครั้งโปรแกรมพวกนี้ โปรแกรมเหล่านี้ได้ไปทำอะไรบางอย่างกับคอมพ์ของคุณแน ่นอน บางตัวอาจมี autorun อยู่ที่ tray (icon เล็กๆด้านขวาล่างสุดของจอ) หรือบางตัวอาจมี spyware มาเพื่อสืบค้นว่าเครื่องเรามีโปรแกรมอะไรบ้าง และส่งข้อมูลไปต้นสังกัตก็เป็นได้ แนะนำให้ลบโปรแกรมหรือเกมที่ไม่ได้ใช้งานออกซะแน่นอน แค่ลบธรรมดายังไม่สะอาดพอ เราอาจต้องพึ่งอุปกรณ์เสริม เรียกว่า C-Cleaner (C-Crap แปลว่าขยะ) สามารถเลือกลบได้ โดยจะลบทั้งหมดให้สะอาดไปเลย หรือไม่เลือกในส่วนที่ไม่ต้องการให้ลบ เช่น cookie ที่จำ password ตามเว็บต่างๆ

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ท่าบริหารหน้าท้อง



ท่าบริหารหน้าท้อง


อยากเป็นเจ้าของหน้าท้องแบนราบ กับกล้ามเนื้อฟิตๆ ใช่ไหม? ต่อไปนี้คือ วิธีที่ช่วยคุณได้..




หยุดซะทีกับการซิทอัพที่ทำอยู่ เพราะมันช่วยบริหารเพียงช่องท้องส่วนบนเท่านั้น แล้วหันมาเริ่มปฏิบัติตามวิธีบริหารให้ทั่วทั้งหน้าท้องเป็นประจำทุก 2-3 วัน รับรองเห็นผลได้ใน 2 สัปดาห์




บริหารหน้าท้องช่วงบน


ลอง


" ท่าแตะปลายเท้า นอนราบกับพื้นโดยให้แขนและขาตั้งชี้บนเพดาน (ตั้งฉากกับร่างกาย) พยายามยื่นปลายนิ้วมือไปแตะปลายเท้าโดยค่อยๆ งอลำตัวอย่างช้าๆ เริ่มทำใหม่ตั้งแต่แรก ปฏิบัติ 20 ครั้ง


ลอง


: ท่าบิดหมุน ยืนแยกปลายเท้ากว้างประมาณบ่าโดยวางบอดี้บาร์ (Body Bar) (หรือไม้กวาด) ไว้บนไหล่หลังลำคอโดยใช้มือจับปลายทั้งสองไว้ ค่อยๆ หมุนลำตัวไปทางขวาให้ได้มากที่สุด โดยพยายามไม่ให้สะโพกเคลื่อน จากนั้นปฏิบัติเช่นเดิม แต่ให้หมุนไปทางด้านซ้าย ปฏิบัติด้านละ 10 ครั้ง


ลอง


: ท่าบิดไหล่ นอนราบลงกับพื้นโดยชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น เท้าราบพื้นและกอดอกไว้ ค่อยๆ ยกหัวไหล่ขึ้นจากพื้นโดยบิดลำตัวไปทางขวาแล้วกลับไปเริ่มต้นท่าแรก จากนั้นปฏิบัติเช่นเดิมไปทิศตรงข้าม ปฏิบัติด้านละ 10 ครั้ง




บริหารช่องท้องด้านล่าง


ลอง


: ท่ายกก้น นอนราบลงกับพื้นโดยวางแขนไว้ข้างลำตัวและขาทั้งสองตั้งตรงขึ้นบนเพดาน พยายามให้ช่วงบนของแผ่นหลังแนบพื้นไว้แล้วยกก้นขึ้นในสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ กลับไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ท่าแรก ปฏิบัติ 20 ครั้ง


ลอง


: ท่ายืดชิด นอนราบลงกับพื้นโดยวางแขนข้างลำตัว ขายืดตรงทำมุม 45 องศากับพื้น ดึงเข่าขวาชิดหน้าอกให้มากเท่าที่จะทำได้ จากนั้นกลับไปเริ่มใหม่แต่เปลี่ยนเป็นเข่าซ้ายแทน ปฏิบัติข้างละ 20 ครั้ง




Tummy-Toning Dos


Do: การกำหนดลมหายใจเป็นสิ่งจำเป็นมากในการบริหารหน้าท้องให้ได้ผลสูงสุด


Do: พยายามกอดอกเอาไว้ แทนที่จะวางไว้บนศีรษะขณะทำท่ากอดอกยกเกร็ง จะช่วยให้คุณไม่ปวดคอ


Do: ปฏิบัติทุกท่าอย่างจริงจัง การเคลื่อนไหวไปมาแทนการใช้กล้ามเนื้ออย่างเต็มที่ทำให้เห็นผลไม่เต็มประสิทธิภาย


คำแนะนำ: หากทำแล้วไม่รู้สึกถึงการเกร็งแสดงว่าคุณยังไม่เต็ม

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประวัติความเป็นมาของโทรเลข

โทรเลข (telegraph) คือ ระบบโทรคมนาคมซึ่งใช้อุปกรณ์ทางไฟฟ้าส่งข้อความจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เดิมส่งโดย อาศัยสายตัวนำที่โยงติดต่อถึงกันและอาศัยอำนาจแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นหลักสำคัญ แต่ระยะหลังมีการใช้วิธีการส่งไร้สาย ที่เรียกว่า วิทยุโทรเลข (radio telegraph, wireless telegraph หรือ continuous wave ย่อว่า CW)

โทรเลขตามสาย
ระบบโทรเลขตามสายระบบแรกที่เปิดให้บริการทางการค้าสร้างโดย เซอร์ ชาร์ลส์ วีทสโตน (Sir Charles Wheatstone) และ เซอร์ วิลเลียม ฟอเทอร์กิลล์ คุก (Sir William Fothergill Cooke) และวางสายตามรางรถไฟของบริษัท Great Western Railway เป็นระยะทาง 13 ไมล์ จากสถานีแพดดิงตัน (Paddington) ถึง เวสต์เดร์ตัน (West Drayton) ในอังกฤษ เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2382 ระบบนี้ได้มีการจดสิทธิบัตรเมื่อ พ.ศ. 2380ระบบโทรเลขนี้พัฒนาและจดสิทธิบัตรพร้อม ๆ กันในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2380 โดย แซมูเอล มอร์ส (Samuel Morse) เขาและผู้ช่วยคือ อัลเฟรด เวล (Alfred Vail) ประดิษฐ์รหัสมอร์สสายโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2409 ทำให้สามารถส่งโทรเลขข้ามมหาสมุทรระหว่างยุโรปและอเมริกาเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านั้นมีความพยายามสร้างในปี พ.ศ. 2400 และ 2401 แต่ก็ทำงานได้ไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่จะเสีย การศึกษาสายโทรเลขใต้น้ำทำให้เกิดความสนใจการวิเคราะห์เรื่อง transmission line ทางคณิตศาสตร์ในปี พ.ศ. 2410 เดวิด บรูคส์ (David Brooks) ระหว่างที่ทำงานให้กับบริษัทรถไฟ Central Pacific Railroad ได้รับสิทธิบัตรสหรัฐอเมริกาหลายฉบับเกี่ยวกับการปรับปรุงฉนวนสำหรับสายโทรเลข สิทธิบัตรของบรูคส์มีส่วนสำคัญในงานสร้างทางรถไฟข้ามทวีปสายแรกของอเมริกาความก้าวหน้าที่สำคัญอีกด้านของเทคโนโลยีโทรเลขเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2435 เมื่อ โทมัส เอดิสัน (Thomas Edison) ได้รับสิทธิบัตรสำหรับโทรเลขสองทาง (two-way telegraph)

วิทยุโทรเลข
นิโคลา เทสลา (Nikola Tesla) และนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์อื่น ๆ แสดงประโยชน์ของเทคโนโลยีไร้สาย วิทยุ และ วิทยุโทรเลข ตั้งแต่ช่วงคริสตทศวรรษ 1890 เป็นต้นมา กูกลีเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) ส่งและรับสัญญานวิทยุสัญญานแรกในประเทศอิตาลีในปี พ.ศ. 2438 เขาส่งวิทยุข้ามช่องแคบอังกฤษในปี พ.ศ. 2442 และข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในปี พ.ศ. 2445 จากอังกฤษถึงเมืองนิวฟันด์แลนด์วิทยุโทรเลขพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการกู้ภัยทางทะเล โดยสามารถติดต่อระหว่างเรือ และจากเรือถึงฝั่ง

โทรเลขในประเทศไทย
โทรเลขในประเทศไทยเริ่มเมื่อ พ.ศ. 2418 สมัยรัชกาลที่ 5 กรมกลาโหมดำเนินการสร้างทางสายโทรเลขสายแรกจากกรุงเทพมหานครไปปากน้ำ หรือ จ.สมุทรปราการ ในปัจจุบัน โดยวางสายเคเบิลโทรเลขใต้น้ำต่อออกไปถึงกระโจมไฟนอกสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา รวมระยะทาง 45 กิโลเมตร เพื่อใช้ในการส่งข่าวสารทางราชการเป็นหลัก ต่อมาในปีพ.ศ. 2426 จึงมีการสถาปนาตั้ง กรมโทรเลข ขึ้นพร้อมกับกรมไปรษณีย์ก่อนที่โทรเลขย้ายมาให้บริการโดย บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือแคท เทเลคอม (CAT Telecom) และจะยกเลิกบริการโทรเลข ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2551